สมถวิปัสสนาของ 3 อาจารย์ไม่ขัดแย้งกัน ของ มหาสติปัฏฐานสูตร

ในเรื่องบรรพะไหนเหมาะกะสมถยานิก บรรพะไหนเหมาะกะวิปัสสนายานิกนี้ มีอย่างน้อย 3 นัยที่อาจารย์กรรมฐานจะต้องใช้ในการพิจารณาเลือกกรรมฐานให้ลูกศิษย์:

  1. นัยของมหาอรรถกถา ท่านมองว่าอารมณ์กรรมฐานในบรรพะไหนสามารถทำให้บรรลุโลกิยอัปปนาได้, บรรพะนั้นเหมาะกะสมถยานิก. นอกนั้นเหมาะกะวิปัสสนายานิก. อย่างไรก็ตาม มหาอรรถกถามองว่าอิริยาบถบรรพะและสัมปชัญญะบรรพะใช้ประกอบกับบรรพะอื่นๆ ไม่ใช่อารมณ์ที่ต้องท่องจำเพื่อนำมาใช้ทำวิปัสสนากรรมฐานโดยตรง เพราะอิริยาบถใหญ่น้อยเป็นอสัมมสนรูป (รูปที่ไม่เหมาะทำวิปัสสนา), แต่จัดว่าเหมาะกับวิปัสสนายานิกเพราะอสัมโมหสัมปชัญญะในสัมปชัญญบรรพะนั้นใช้ศัพท์ว่า ปชานาติ, ซึ่งเป็นศัพท์เดียวกับวิปัสสนาบรรพะส่วนใหญ่ มหาอรรถกถาจึงอธิบาย 2 บรรพะนี้ โดยใช้เนื้อหาในวิปัสสนาบรรพะอื่นมาทำฆนวินิพโภคะ 2 บรรพะนี้เพื่อให้ได้นามรูปปรมัตถ์มาทำวิปัสสนา.
  2. นัยของพระมหาสิวเถระ ท่านมองสีวถิกบรรพะว่าเป็นอาทีนวานุปัสสนา จึงเหมาะกะวิปัสสนายานิก ส่วนมหาอรรถกถามองว่า สีวถิกาสามารถใช้ทำโลกิยอัปปนาได้ จึงเหมาะกับสมถยานิก ทั้งสองมติถูกต้องทั้งคู่ คือ มติของมหาอรรถกถา อาจารย์กรรมฐานจะใช้สำหรับเลือกบรรพะที่เหมาะสมกะลูกศิษย์ที่มีปัญญินทรีย์แก่กล้า สามารถข้ามลำดับสูตรได้, ส่วนมติของพระมหาสิวะ จะใช้เมื่อลูกศิษย์มีปัญญินทรีย์อ่อนหัด ต้องปฏิบัติไล่ลำดับตั้งแต่อานาปานบรรพะมา ดังนั้น เมื่อปัญญินทรีย์อ่อนหัดเริ่มแก่กล้าจากการทำทิฏฐิวิสุทธิด้วยธาตุมนสิการในปฏิกูลมาแล้วใน 2 บรรพะก่อน ก็ให้นำขึ้นสู่อาทีนวานุปัสสนาด้วยนวสีวถิกาตามนัยยะของพระมหาสิวะ. อนึ่ง พระมหาสิวะกล่าวว่า อิริยาบถและสัมปชัญญบรรพะสามารถเอามาท่องจำเพื่อใช้ทำวิปัสสนาได้ โดยการแยกบัญญัติจากปรมัตถ์ ตรงนี้ท่านกล่าวตามอรรถกถาสัมปชัญญบรรพะ หัวข้ออสัมโมหสัมปชัญญะ จึงไม่ได้ขัดแย้งกับมหาอรรถกถา แต่เป็นการอธิบายให้เห็นภาพว่าที่มหาอรรถกถากล่าวไว้ว่า "2 บรรพะนี้เหมาะสำหรับวิปัสสนายานิก"นั้น เป็นอย่างไรเท่านั้นเอง.

นัยของเนตติปกรณ์

  1. สีหวิกีฬิตนัย จะลำดับข้อปฏิบัติให้สอดคล้องกะอัธยาศัยของสีหะคือครูผู้สอน ในนยสมุฏฐานจึงแสดงองค์สภาวะธรรมข้อที่เท่ากันแม้ต่างหมวดไว้เท่ากัน.
  2. ติปุกขลนัย จะลำดับข้อปฏิบัติให้สอดคล้องกะอัธยาศัยของสัตว์ที่จะออกจากวัฏฏะ ในนยสมุฏฐานจึงเป็นการนำสีหวิกีฬิตนัยมาลำดับใหม่ให้เหมาะกับรายบุคคลนั้นๆ ดังนั้น องค์สภาวธรรม คนละลำดับข้อกัน ถ้าต่างหมวดก็อาจมีองค์ธรรมไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับอัธยาศัยของสัตว์คนนั้นๆ.

พระมหาสิวะกับมหาอรรถกถาไม่ได้ขัดแย้งกันคำอธิบายของมหาอรรถกถาในมหาสติปักฐานสูตรมีสองแบบ คือ แบบที่อธิบายด้วยสีหวิกีฬิตนัย และแบบที่อธิบายด้วยติปุกขลนัย.

  1. มหาอรรถกถาแบบที่อธิบายด้วยสีหวิกีฬิตนัย จะอยู่ในอรรถกถาของแต่ละบรรพะ เพราะสติปัฏฐาน 4 จัดอยู่ในสีหวิกีฬิตนัย มหาสติปัฏฐานสูตรจึงแสดงตามสีหวิกีฬิตนัย, ฉะนั้น ในอรรถกถาของแต่ละบรรพะจึงต้องอธิบายองค์สภาวะธรรมของบรรพะตามลำดับสีหวิกีฬิตนัย คือ แสดงลำดับครบถ้วนตั้งแต่การเชื่อมโยงกับบรรพะก่อน ไปจนวิธีการทำกรรมฐานจนถึงขยญาณ ตามลำดับในพระบาลีแห่งมหาสติปัฏฐานสูตร, ไม่ใช่การจัดโปรแกรมเฉพาะบุคคลแบบติปุกขลนัย.
  2. มหาอรรถกถาแบบที่อธิบายด้วยติปุกขลนัย จะอยู่นอกอรรถกถาของบรรพะ เช่น
    1. ในมหาอรรถกถาใช้ติปุกขลนัยอธิบายวิธีเลือกกรรมฐานไว้ตอนท้ายว่า "อิริยาบถบรรพะกับสัมปชัญญบรรพะไม่ใช่อารมณ์กรรมฐานที่อภินิเวสได้ (ไม่ต้องเอามาเป็นอารมณ์กรรมฐาน)" แต่ก็แสดงว่า "บรรพะนี้เป็นอารมณ์สมถกรรมฐานหรืออารมณ์วิปัสสนากรรมฐาน" ซึ่งก็หมายถึงสมถยานิกบุคคลและวิปัสสนายานิกบุคคลในติปุกขลนัยนั่นเอง. ซึ่งผู้ที่อ่านผ่านๆ จะไม่เข้าใจและมองว่ามหาอรรถกถาขัดแย้งกันเอง พระมหาสิวเถระจึงต้องใช้สีหวิกีฬิตนัยมาอธิบายติปุกขลนัยของมหาอรรถกถาว่า "อิริยาบถเมื่อทำฆนวินิพโภคะแล้ว ก็จะได้นามรูปมาเป็นอารมณ์แก่วิปัสสนายานิก ฉะนั้น มหาอรรถกถาแม้กล่าวว่าสองบรรพะนี้ไม่เป็นอารมณ์กรรมฐานด้วยติปุกขลนัยไว้ แต่ก็ในอรรถกถาของทั้งสองบรรพะนี้มหาอรรถกถาก็อธิบายไว้ด้วยสีหวิกีฬิตนัย. เมื่อพระมหาสิวะอธิบายติปุกขลนัยให้เป็นสีหวิกีฬิตนัยอย่างนี้ ครูผู้สอนกรรมฐานก็จะเข้าใจมหาอรรถกถาตรงตามจุดประสงค์ว่า "เมื่อจะให้อารมณ์กรรมฐาน ไม่ควรเริ่มให้อิริยาบถบรรพะและสัมปชัญญะบรรพะตั้งแต่แรก เพราะเป็นอสัมมสนธรรม, แต่เมื่อชำนาญจตุธาตุววัตถานและนามบรรพะด้วยญาตปริญญาแล้ว แม้อิริยาบถกับสัมปชัญญะบรรพะ ก็เป็นอารมณ์กรรมฐานได้ด้วยการทำฆนวินิพโภคะ".

จะมองว่า สิ่งที่มีอยู่แล้วไม่ต้องปฏิบัติให้ทำขั้นต่อไปได้เลย เช่น คนที่ได้โลกิยอัปปนาอยู่แล้วเป็นอุคฆฏิตัญญูไม่ต้องทำกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ให้ทำสมถะแล้วปฏิบัติธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานได้เลย เป็นต้น หลักการนี้ก็ถูกต้อง แต่ในสถานการที่ต้องสอนกรรมฐานจริง แม้อุคฆฏิตัญญูบางท่านก็ยังต้องพึ่งกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เช่น โยคีอุคฆฏิตัญญูอาจไม่เคยทำโลกิยอัปปนามาก่อนในชาตินั้น เนตติปกรณ์ให้อุคฆฏิตัญญูเป็นสมถยานิก จึงต้องให้โยคีนี้ทำฌานก่อน เมื่อจะต้องสอนอารมณ์กรรมฐานในมหาสติปัฏฐานสูตรจึงต้องเลือกให้กายานุปัสสนาสติปัฏฐานที่เหมาะกะสมถยานิก เป็นต้น.


จะเห็นได้ว่าตามหลักเนตติปกรณ์แล้ว มติของมหาอรรถกถากับของพระมหาสิวะนั้นเพียงแค่อธิบายเชื่อมโยงซึ่งกันและกันเท่านั้น ไม่ได้ขัดแย้งกันเลย พระพุทธโฆสาจารย์จึงไม่แสดงการวินิจฉัยอย่างในที่อื่นๆ เพียงวางมติของมหาอรรถกถาไว้ก่อน แล้ววางมติของพระมหาสิวะต่อกัน เพื่ออธิบายมหาอรรถกถาอีกทีหนึ่ง เท่านั้น.

แหล่งที่มา

WikiPedia: มหาสติปัฏฐานสูตร http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=02... http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10... http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10... http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10... http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10... http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10... http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10... http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10... http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12... http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12...